Last updated: 24 พ.ย. 2564 | 1677 จำนวนผู้เข้าชม |
เชื่อว่าคนใช้รถยนต์ส่วนใหญ่จะต้องเคยได้ยินถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนล้อ และ ยางรถยนต์ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าล้อเดิมที่ติดรถมา เพราะจะช่วยให้ขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มการยึดเกาะพื้นผิวได้ดีกว่าเดิม และสำหรับบางคนยังมีผลในแง่ของสไตล์และความสวยงามด้วย
ในขณะเดียวกันย่อมมีคำถามเกิดขึ้นว่าล้อกับยางชุดเดิมที่ติดรถมาจากโรงงานไม่ดีพอหรืออย่างไร วันนี้เราลองมาดูกันว่าการอัปเกรดล้อและยางรถยนต์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งย่อมจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจะมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ขนาดล้อและขนาดยางรถยนต์โดยทั่วไป
ปัจจุบันรถยนต์ที่วิ่งตามท้องถนนทั่วไปนั้นใช้ล้อที่มีขนาดแตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของรถ ซึ่งรถยนต์แต่ละรุ่นก็ไม่ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์ตายตัวด้วยว่าต้องใช้ล้อและยางขนาดเท่าไหร่
รถในกลุ่ม eco car ส่วนมากจะใช้ขนาดล้ออยู่ที่ 13-15 นิ้ว
รถในกลุ่ม B-Segment จะใช้ขนาดล้ออยู่ที่ 15-16 นิ้ว
รถในกลุ่ม SUV จะใช้ขนาดล้ออยู่ที่ 18-20 นิ้ว
ทั้งนี้ล้อรถยนต์และยางรถยนต์ที่ติดตั้งมาจากโรงงาน ถือเป็นแบบและขนาดมาตรฐานที่เหมาะสำหรับรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ซึ่งผ่านมากระบวนการพัฒนาและออกแบบมาเป็นอย่างดี ดังนั้นการใช้ล้อกับยางชุดเดิมย่อมมีความปลอดภัยเพียงพอสำหรับการขับขี่ตามปกติ
เปลี่ยนล้อรถยนต์เปลี่ยนยางรถยนต์ เพื่อความสวยงามและขับขี่ดีขึ้น ?
สำหรับบางคนแล้วอะไรที่มันเดิม ๆ ย่อมดูจะธรรมดาไปไม่เท่ไม่สวยงามเท่าไรนัก เจ้าของรถหลายคนจึงนิยมเปลี่ยนล้อใหม่และยางใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งสิ่งที่ได้ตามมาเป็นอย่างแรกก็คือวงล้อใหญ่กว่าเดิมดูเต็มซุ้มล้อยิ่งขึ้นและถือว่าสวยงามลงตัวกว่าเดิม
ในแง่ของการใช้งานนั้น การเปลี่ยนล้อกับยางรถยนต์ให้ใหญ่ขึ้นย่อมจะทำให้สมรรถนะของรถเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย โดยในสภาวะแวดล้อมแบบเดียวกัน ผู้ขับขี่อาจจะรู้สึกได้เลยว่ารถมีการยึดเกาะที่ดีขึ้นหรือที่เรียกว่าแน่นหนึบมากกว่าเดิมโดยเฉพาะเมื่อขับด้วยความเร็วสูง รวมถึงเรื่องของระยะเบรกที่สั้นลง และความรู้สึกนุ่มนวลหรือแรงสะเทือนจากพื้นถนนที่น้อยลงด้วย
เปลี่ยนล้อรถยนต์ ยางใหญ่ขึ้น ขับดีขึ้นแต่ประหยัดน้อยลง
แน่นอนว่าเมื่อมีได้ก็ต้องมีเสียตามมาบ้าง การเลือกเปลี่ยนล้อและยางรถยนต์ให้ใหญ่กว่าเดิมอาจจะช่วยให้ความรู้สึกในการขับขี่ดีขึ้นก็จริง แต่สิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ก็คือความประหยัดจะหายไป เพราะเรื่องแรกที่เจ้าของรถทุกคนจะต้องเจอก่อนก็คือราคาค่าใช้จ่าย ซึ่งล้อและยางรถยนต์ย่อมมีราคาแพงขึ้นตามขนาดด้วย
ส่วนเรื่องอื่นที่จะเกิดขึ้นก็คืออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันซึ่งต้องเปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอน เพราะความแน่นหนึบในการขับขี่ การยึดเกาะถนนที่ดีขึ้นนั้นมาจากการที่หน้ายางมีขนาดใหญ่ขึ้น เกิดแรงต้านกับพื้นถนนมากขึ้น และหมายความว่าเครื่องยนต์ต้องทำงานหนักกว่าที่เคยนั่นเอง ผู้ขับขี่อาจจะสังเกตได้เลยว่าเวลาออกตัวรถจะมีอาการอืดต้องกดคันเร่งลึกกว่าเดิมและส่งผลให้เปลืองน้ำมันมากขึ้น
เปลี่ยนล้อรถยนต์อีกหนึ่งกรณีที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ หากเปลี่ยนล้อให้ใหญ่ขึ้นโดยลดขนาดของแก้มยางลง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดซุ้มล้อ ซึ่งจะทำให้การดูดซับแรงกระแทกมีประสิทธิภาพลดลง บางทีรถตกหลุมเพียงนิดเดียวก็อาจรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่มากขึ้น และอาจส่งผลต่อการสึกหรอของช่วงล่างในระยะยาว
นอกจากนี้การเปลี่ยนล้อและยางใหญ่ขึ้นจะยังส่งผลต่อมาตรวัดระยะและมาตรวัดความเร็ว ที่เรียกว่าอาการไมล์อ่อน-แข็ง เพราะรถยนต์ที่ออกมาจากโรงงานทุกคันจะถูกตั้งค่าไมล์รถให้สัมพันธ์กับขนาดของล้อและยางไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าหากมีการปรับเปลี่ยนขนาดล้อปัญหาที่พบบ่อยสุดคือไมล์แข็ง หมายความว่า ความเร็วที่แท้จริงขณะกำลังขับรถอยู่นั้นอาจจะมากกว่าความเร็วที่โชว์บนหน้าปัดนั่นเอง
มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าทั้งล้อและยางรถยนต์แบบเดิม กับล้อและยางที่ขนาดใหญ่ขึ้นต่างก็มีทั้งข้อดี ข้อเสีย ซึ่งการที่จะเลือกแบบไหนก็ขึ้นนอยู่กับสไตล์การขับขี่ และความชอบส่วนตัว รวมถึงความเหมาะสมในเรื่องงบประมาณค่าใช้จ่ายของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญอย่างยิ่งหากจะเปลี่ยนล้อและยางให้ใหญ่ก็เดิมก็คือ ต้องเลือกล้อกับยางที่เหมาะสมกับรถ เพราะการใส่ล้อที่ขนาดใหญ่เกิดไป หรือยางรถยนต์ที่มีซีรี่ส์ต่ำ ๆ หรือแก้มยางบางมาก ๆ บางครั้งอาจจะเกิดความเสียหายชนิดที่เรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย
ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลและขอคำปรึกษาจากช่างผู้ชำนาญหรือร้านจำหน่ายยางที่น่าเชื่อถือด้วย อย่าลืมว่าล้อและยางชุดเดิมที่ติดมาจากโรงงานนั้นถือว่าได้มาตรฐานเพียงพอแล้ว และการเลือกใช้ยางที่มีหน้ากว้างและขนาดใหญ่ขึ้นจะช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ แต่ก็ย่อมมาพร้อมกับความสิ้นเปลืองที่มากกว่าเดิม
7 ม.ค. 2565
8 ม.ค. 2565
7 ม.ค. 2565